มาพูดคุยกันเกี่ยวกับพื้นฐานของการบัญชีและการเงินที่จำเป็นต้องรู้เมื่อคุณลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับสินทรัพย์ แม้ว่าการบัญชีและการเงินอาจดูซับซ้อน แต่เราจะมาช่วยกันทำความเข้าใจให้ง่ายขึ้น!
สินทรัพย์
นิยามและความสำคัญ
ในทางบัญชีและการเงินซึ่งมีบทบาทสำคัญในการประเมินสถานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของธุรกิจ หนึ่งในแนวคิดพื้นฐานที่สำคัญที่สุดคือ สินทรัพย์ สินทรัพย์หมายถึงทรัพยากรทางเศรษฐกิจที่มีทั้งรูปธรรมและนามธรรมซึ่งธุรกิจเป็นเจ้าของ และคาดว่าจะนำมาซึ่งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในอนาคต
ลักษณะของสินทรัพย์
มูลค่าทางเศรษฐกิจ: สินทรัพย์จะต้องมีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สามารถวัดได้เป็นหน่วยเงินตรา นั่นคือ มูลค่าของสินทรัพย์จะถูกประเมินโดยราคาที่ซื้อขายในตลาดหรือมูลค่าที่เป็นธรรม
ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในอนาคต: สินทรัพย์จะต้องนำมาซึ่งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กับธุรกิจในอนาคต ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอาจปรากฏในรูปแบบต่างๆ เช่น การเพิ่มรายได้ การลดค่าใช้จ่าย หรือการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์
กรรมสิทธิ์: สินทรัพย์จะต้องเป็นของธุรกิจ สินทรัพย์ที่เช่าจากผู้อื่นหรือสินทรัพย์ที่ได้รับสิทธิ์ในการใช้งานภายใต้สัญญาเช่าซื้อจะไม่จัดเป็นสินทรัพย์
สินทรัพย์ที่มีลักษณะดังกล่าวจะถูกบันทึกในด้านเดบิตของงบดุล และมีหลายประเภท ดังนี้
- เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด: เช่น เงินตรา เงินฝากออมทรัพย์ หรือตราสารทางการเงินระยะสั้นที่มีอายุไม่เกิน 3 เดือน ซึ่งสามารถแปลงเป็นเงินสดได้ทันที
- ลูกหนี้การค้า: สิทธิเรียกร้องจากการขายสินค้าหรือบริการที่ยังไม่ได้รับชำระเงิน
- สินค้าคงเหลือ: สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ถือครองเพื่อการขาย วัตถุดิบ ฯลฯ
- สินทรัพย์ถาวร: ที่ดิน อาคาร เครื่องจักร ยานพาหนะ ฯลฯ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีรูปธรรม
- สินทรัพย์ไม่มีตัวตน: สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า สิทธิในกิจการ ฯลฯ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีรูปธรรม
เนื่องจากสินทรัพย์มีส่วนช่วยในการสร้างรายได้ในอนาคตของธุรกิจ นักลงทุนจึงสามารถวิเคราะห์ขนาดและโครงสร้างของสินทรัพย์ของธุรกิจเพื่อประเมินความมั่นคงทางการเงินและศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจนั้นๆ
การจำแนกประเภทของสินทรัพย์: สินทรัพย์หมุนเวียนและสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน
สินทรัพย์จะถูกจำแนกออกเป็น สินทรัพย์หมุนเวียนและสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน โดยใช้เกณฑ์ 1 ปีเป็นตัวกำหนด
สินทรัพย์หมุนเวียน
หมายถึงสินทรัพย์ที่คาดว่าจะแปลงเป็นเงินสดหรือถูกใช้ไปภายใน 1 ปี โดยทั่วไปจะประกอบด้วยสินทรัพย์หมุนเวียนเร็วและสินค้าคงเหลือ
- สินทรัพย์หมุนเวียนเร็ว: เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ตราสารทางการเงินระยะสั้น ลูกหนี้การค้า เงินที่ค้างรับ เงินจ่ายล่วงหน้า ฯลฯ
- สินค้าคงเหลือ: สินค้า ผลิตภัณฑ์ สินค้าระหว่างดำเนินการ วัตถุดิบ ฯลฯ
ความเข้าใจเกี่ยวกับสินทรัพย์หมุนเวียนและปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนควรรู้
สินทรัพย์หมุนเวียนมีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินงานระยะสั้นและการจัดหาเงินทุนของธุรกิจ นักลงทุนสามารถวิเคราะห์สินทรัพย์หมุนเวียนเพื่อประเมินสถานะทางการเงินและโอกาสในอนาคตของธุรกิจ ด้านล่างนี้คือปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนควรรู้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์สินทรัพย์หมุนเวียน
- เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด: เป็นสินทรัพย์หมุนเวียนที่พื้นฐานที่สุด ซึ่งสามารถแปลงเป็นเงินสดได้ทันที นี่เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการประเมินความสามารถในการชำระหนี้และสภาพคล่องของธุรกิจ รายการเทียบเท่าเงินสดนั้นรวมถึงตราสารทางการเงินระยะสั้นที่ถือครองเพื่อรับผลตอบแทนจากดอกเบี้ยด้วย จึงควรพิจารณาร่วมกันด้วย
- ลูกหนี้การค้า: หมายถึงเงินที่ลูกค้าค้างชำระจากการขายสินค้าหรือบริการแบบเครดิตและเงินที่ค้างรับจากการออกเช็ค การตรวจสอบว่าลูกหนี้การค้าถูกชำระหนี้เร็วแค่ไหน และจำนวนเงินสำรองเพื่อลูกหนี้สงสัยจะสูญนั้นเหมาะสมหรือไม่ จะช่วยให้ประเมินความเสี่ยงด้านเครดิตและความเป็นไปได้ในการเรียกเก็บเงินได้
- สินค้าคงเหลือ: หมายถึงสินทรัพย์ที่ถือครองเพื่อการขายหรืออยู่ในกระบวนการผลิต การวิเคราะห์ขนาดและอัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือจะช่วยให้ตัดสินประสิทธิภาพของกิจกรรมการผลิตและการขายของธุรกิจได้ นอกจากนี้ สภาพความเสื่อมสภาพและความเสียหายของสินค้าคงเหลือก็เป็นจุดสำคัญที่ต้องตรวจสอบด้วย
- สินทรัพย์หมุนเวียนอื่นๆ: นอกเหนือจากรายการหลักที่กล่าวมาข้างต้น ยังมีสินทรัพย์หมุนเวียนอื่นๆ อีกมากมาย เช่น เงินที่ค้างรับ เงินจ่ายล่วงหน้า เงินให้กู้ยืม ฯลฯ รายการเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์เฉพาะของธุรกิจ ดังนั้นจึงควรพิจารณาเป็นรายกรณี และเชื่อมโยงกับลักษณะธุรกิจเพื่อให้เข้าใจได้อย่างถูกต้อง
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน
หมายถึงสินทรัพย์ที่ใช้หรือถือครองเพื่อการลงทุนเป็นระยะเวลานานกว่า 1 ปี และแบ่งออกเป็น สินทรัพย์ถาวร สินทรัพย์ไม่มีตัวตน สินทรัพย์เพื่อการลงทุน และสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่นๆ
- สินทรัพย์เพื่อการลงทุน: ตราสารทางการเงินระยะยาว หุ้นที่ซื้อเพื่อขาย หุ้นที่ซื้อเพื่อถือครองจนครบกำหนด หุ้นของบริษัทที่ลงทุนโดยใช้หลักการส่วนแบ่งกำไร ฯลฯ
- สินทรัพย์ถาวร: ที่ดิน อาคาร โครงสร้างพื้นฐาน เครื่องจักร ยานพาหนะ ฯลฯ
- สินทรัพย์ไม่มีตัวตน: สิทธิในกิจการ สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา ค่าใช้จ่ายในการพัฒนา ฯลฯ
- สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่นๆ: สินทรัพย์ภาษีเงินได้รอตัดบัญชี เงินมัดจำเช่า สิทธิเรียกร้องจากการขายสินค้าระยะยาว ฯลฯ
สินทรัพย์ที่จำแนกประเภทเหล่านี้เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการประเมินสภาพคล่องและความมั่นคงทางการเงินของธุรกิจ ยิ่งมีสินทรัพย์หมุนเวียนมากเท่าไร ความสามารถในการจัดหาเงินทุนระยะสั้นของธุรกิจก็จะยิ่งสูงขึ้น และการจัดการสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอย่างเหมาะสมจะช่วยสนับสนุนการเติบโตและผลกำไรในระยะยาวของธุรกิจ
ประเภทของสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนและผลกระทบต่อการลงทุน
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนเป็นสินทรัพย์ที่ธุรกิจถือครองในระยะยาว ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการที่นักลงทุนจะประเมินสถานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของธุรกิจ สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนมีประเภทต่างๆ ดังนี้
- สินทรัพย์ถาวร: สินทรัพย์ที่มีรูปธรรมที่ธุรกิจถือครองเพื่อใช้ในการดำเนินงาน เช่น ที่ดิน อาคาร เครื่องจักร เป็นต้น ขนาดและมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ถาวรเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการประเมินกำลังการผลิตและความสามารถในการสร้างรายได้ของธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ต้องพิจารณาถึงค่าใช้จ่ายในการซื้อและการบำรุงรักษาสินทรัพย์ถาวร รวมถึงค่าเสื่อมราคาด้วย
- สินทรัพย์ไม่มีตัวตน: สินทรัพย์ที่ไม่มีรูปธรรมแต่สามารถระบุได้ เช่น สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า ลิขสิทธิ์ ฯลฯ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการพัฒนา ซอฟต์แวร์ที่ซื้อ ฯลฯ สินทรัพย์ไม่มีตัวตนเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความสามารถในการแข่งขันและอำนาจเหนือตลาดในอนาคตของธุรกิจ แต่ต้องพิจารณาถึงค่าตัดจำหน่ายและขาดทุนจากการด้อยค่าด้วย
- สินทรัพย์เพื่อการลงทุน: สินทรัพย์ที่ลงทุนในธุรกิจอื่นหรือตราสารทางการเงิน เช่น หุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น การเปลี่ยนแปลงมูลค่าของสินทรัพย์เพื่อการลงทุนส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลการดำเนินงานทางการเงินของธุรกิจ ดังนั้น นักลงทุนจึงควรตรวจสอบโครงสร้างและกลยุทธ์การบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนอย่างรอบคอบ
- สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่นๆ: สินทรัพย์ภาษีเงินได้รอตัดบัญชี เงินมัดจำเช่า ค่าใช้จ่ายล่วงหน้าระยะยาว ฯลฯ จัดอยู่ในประเภทสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่นๆ แต่ละรายการมีความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์เฉพาะของธุรกิจ ดังนั้นจึงควรระมัดระวังในการวิเคราะห์งบการเงิน
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนเหล่านี้สะท้อนถึงผลการดำเนินงานในอดีตและสถานะปัจจุบันของธุรกิจ และอาจส่งผลต่อรายได้และกระแสเงินสดในอนาคต ดังนั้น นักลงทุนจึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับการจำแนกประเภทและวิธีการประเมินมูลค่าของสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน และพิจารณาสถานะทางการเงินและกลยุทธ์การดำเนินงานของธุรกิจอย่างครอบคลุม
วิธีการประเมินมูลค่าสินทรัพย์และบทบาทในงบการเงิน
ในงบการเงิน สินทรัพย์เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงสถานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของธุรกิจ การประเมินมูลค่าสินทรัพย์เป็นกระบวนการในการวัดและประเมินมูลค่าของสินทรัพย์เหล่านี้ ซึ่งมีวิธีการดังต่อไปนี้
1.ต้นทุนประวัติศาสตร์ (Historical Cost): เป็นวิธีการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ตามราคาที่ซื้อครั้งแรก วิธีการนี้ให้ข้อมูลเชิงวัตถุ แต่หากมูลค่าของสินทรัพย์เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ก็อาจไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง
2.ต้นทุนปัจจุบัน (Current Cost): เป็นวิธีการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นหากซื้อสินทรัพย์นั้นในปัจจุบัน วิธีการนี้สามารถสะท้อนมูลค่าที่เป็นจริงมากกว่าต้นทุนประวัติศาสตร์ แต่เนื่องจากต้องอาศัยการประมาณการ จึงอาจเกิดความคลาดเคลื่อนได้
3.มูลค่าที่เป็นธรรม (Fair Value): เป็นวิธีการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ตามราคาที่ซื้อขายในตลาดหรือจำนวนเงินที่สามารถได้รับจากการให้บริการ มูลค่าที่เป็นธรรมสามารถสะท้อนมูลค่าปัจจุบันของสินทรัพย์ได้อย่างถูกต้องที่สุด แต่หากไม่มีราคาตลาด ก็ต้องใช้วิธีการประมาณการ
สินทรัพย์ที่ผ่านการประเมินมูลค่าแล้วจะมีบทบาทในงบการเงิน ดังนี้
- งบดุล: แสดงขนาดและโครงสร้างของสินทรัพย์ และให้ข้อมูลที่สำคัญในการประเมินสถานะทางการเงินของธุรกิจ
- แบ่งเป็นสินทรัพย์หมุนเวียนและสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน และต้องพิจารณาลักษณะเฉพาะและวิธีการประเมินมูลค่าของแต่ละประเภท
- งบกำไรขาดทุน: แสดงรายได้และค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการขายหรือการใช้สินทรัพย์ และให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ในการประเมินผลการดำเนินงานของธุรกิจ
- ตัวอย่างเช่น กำไรหรือขาดทุนจากการขายสินทรัพย์ ค่าเสื่อมราคา เป็นต้น
ดังนั้น นักลงทุนจึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการประเมินมูลค่าสินทรัพย์และบทบาทในงบการเงิน และนำไปใช้ในการประเมินสถานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ
ความคิดเห็น0