Cherry Bee

วิธีดูงบการเงินเพื่อช่วยในการลงทุนในหุ้น - ทุนคืออะไร?

  • ภาษาที่เขียน: ภาษาเกาหลี
  • ประเทศอ้างอิง: ทุกประเทศcountry-flag
  • เศรษฐกิจ

สร้าง: 2024-07-21

สร้าง: 2024-07-21 16:07

เมื่อทำการลงทุน งบการเงินที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ 'ส่วนของผู้ถือหุ้น' ซึ่งเราจะมาอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ และรวดเร็วครับ ว่าส่วนของผู้ถือหุ้นคืออะไร และทำไมจึงมีความสำคัญ มาเรียนรู้ไปพร้อมๆ กันเลยครับ

นิยามและองค์ประกอบของส่วนของผู้ถือหุ้น

ส่วนของผู้ถือหุ้น หมายถึง ส่วนที่เหลือของสินทรัพย์ของบริษัทหลังจากหักหนี้สินออกแล้ว กล่าวคือ แสดงถึงสินทรัพย์สุทธิของบริษัท ส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญที่แสดงถึงสถานะทางการเงินของบริษัท และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ต้องพิจารณาเมื่อทำการลงทุนในหุ้น

ส่วนของผู้ถือหุ้นประกอบด้วยองค์ประกอบต่อไปนี้

  • ทุนจดทะเบียน: หมายถึง จำนวนเงินที่ผู้ลงทุนลงทุนเมื่อบริษัทก่อตั้งขึ้นครั้งแรก ทุนจดทะเบียนจัดหาผ่านการออกหุ้น และคำนวณโดยการนำมูลค่าที่ตราไว้ต่อหุ้น คูณด้วยจำนวนหุ้นที่ออก
  • เงินกองทุนสะสมจากการเพิ่มทุน: หมายถึง เงินส่วนเกินที่เกิดจากการทำธุรกรรมเกี่ยวกับส่วนของผู้ถือหุ้น ตัวอย่างเช่น หากราคาออกหุ้นสูงกว่ามูลค่าที่ตราไว้ ส่วนต่างนั้นจะถูกบันทึกเป็นเงินกองทุนสะสมจากการเพิ่มทุน
  • กำไรสะสม: หมายถึง กำไรที่เกิดจากการดำเนินงาน ที่ไม่ได้จ่ายเป็นเงินปันผลและคงเหลืออยู่ กำไรสะสมเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่แสดงว่าสถานะทางการเงินของบริษัทแข็งแกร่ง และเป็นเกณฑ์สำคัญในการตัดสินใจลงทุนในหุ้น
  • การปรับปรุงส่วนของผู้ถือหุ้น: หมายถึง รายการที่ไม่อยู่ในทุนจดทะเบียน เงินกองทุนสะสมจากการเพิ่มทุน หรือ กำไรสะสม ซึ่งมีบทบาทในการปรับปรุงส่วนของผู้ถือหุ้นทั้งหมด ตัวอย่างเช่น การซื้อหุ้นคืน ส่วนลดในการออกหุ้น การลดทุน เป็นต้น
  • กำไรหรือขาดทุนสะสมอื่นๆ: หมายถึง จำนวนเงินที่สะสมจากกำไรหรือขาดทุนอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง
  • ส่วนของผู้ถือหุ้นอื่น: หมายถึง ส่วนของหุ้นในบริษัทย่อย ที่บริษัทแม่ไม่ได้ถือครอง

การทำความเข้าใจองค์ประกอบของส่วนของผู้ถือหุ้นเหล่านี้ จะทำให้เราสามารถวิเคราะห์สถานะทางการเงินของบริษัทได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น และสามารถตัดสินใจลงทุนในหุ้นได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น

ความสัมพันธ์ระหว่างส่วนของผู้ถือหุ้นกับการลงทุนในหุ้น

ส่วนของผู้ถือหุ้นมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการลงทุนในหุ้น เนื่องจากหุ้นเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่ก่อให้เกิดส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท

นักลงทุนในหุ้นสามารถเข้าร่วมในส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท และได้รับผลตอบแทนจากการเติบโตของบริษัท ในกรณีนี้ ขนาดและองค์ประกอบของส่วนของผู้ถือหุ้นมีบทบาทสำคัญในการกำหนดมูลค่าของหุ้น

ตัวอย่างเช่น หากบริษัทมีทุนจดทะเบียนสูง จะส่งผลให้ความมั่นคงของบริษัทเพิ่มขึ้น และมีโอกาสที่มูลค่าของหุ้นจะเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ หากบริษัทมีเงินกองทุนสะสมจากการเพิ่มทุนและกำไรสะสมสูง จะแสดงให้เห็นว่าสถานะทางการเงินของบริษัทแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยเพิ่มมูลค่าของหุ้น

ในทางกลับกัน หากบริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ (Capital Deficiency) หรือมีหนี้สินมากเกินไป จะแสดงให้เห็นว่าสถานะทางการเงินของบริษัทไม่มั่นคง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้มูลค่าของหุ้นลดลง ดังนั้นจึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

ดังนั้น เมื่อทำการลงทุนในหุ้น จึงจำเป็นต้องวิเคราะห์ขนาดและองค์ประกอบของส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทอย่างละเอียด และใช้ข้อมูลเหล่านี้เป็นพื้นฐานในการตัดสินใจลงทุน ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถได้รับผลตอบแทนที่มั่นคงและสูงขึ้น

วิธีการวิเคราะห์ส่วนของผู้ถือหุ้นจากงบการเงิน

วิธีการวิเคราะห์ส่วนของผู้ถือหุ้นจากงบการเงินมีดังนี้

  • ตรวจสอบงบดุล: งบดุลเป็นตารางที่แสดงสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท ส่วนของผู้ถือหุ้นจะอยู่ทางด้านขวาของงบดุล และประกอบด้วย ทุนจดทะเบียน เงินกองทุนสะสมจากการเพิ่มทุน และกำไรสะสม
  • ทุนจดทะเบียน: คือจำนวนเงินที่ลงทุนเมื่อก่อตั้งบริษัท คำนวณจากจำนวนหุ้นทั้งหมดที่ออกคูณด้วยมูลค่าที่ตราไว้ต่อหุ้น
  • เงินกองทุนสะสมจากการเพิ่มทุน: คือเงินส่วนเกินจากการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับส่วนของผู้ถือหุ้น เช่น เงินส่วนเกินจากการออกหุ้น
  • กำไรสะสม: คือส่วนของกำไรจากการดำเนินงานที่ไม่ได้จ่ายเป็นเงินปันผลและคงเหลืออยู่ในบริษัท

จากข้อมูลเหล่านี้ เราสามารถวิเคราะห์สถานะทางการเงินของบริษัทและใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนในหุ้น อย่างไรก็ตาม งบการเงินแสดงข้อมูลในอดีต ดังนั้นจึงควรระมัดระวังในการคาดการณ์อนาคตจากข้อมูลเหล่านี้

การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของส่วนของผู้ถือหุ้น

การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งในการลงทุนในหุ้น การวิเคราะห์นี้ช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์ได้ว่าสถานะทางการเงินของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และสามารถคาดการณ์ปัจจัยที่จะส่งผลต่อราคาหุ้นในอนาคตได้

วิธีการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของส่วนของผู้ถือหุ้นมีดังนี้

  • ตรวจสอบรายการเปลี่ยนแปลงของทุนจดทะเบียน: จากรายการเปลี่ยนแปลงของทุนจดทะเบียน เราสามารถวิเคราะห์ได้ว่าบริษัทได้ออกหุ้นเพิ่มหรือลดทุนหรือไม่ หากมีการออกหุ้นเพิ่ม มูลค่าของหุ้นอาจลดลง และหากมีการลดทุน มูลค่าของหุ้นอาจเพิ่มขึ้น
  • ตรวจสอบรายการเปลี่ยนแปลงของเงินกองทุนสะสมจากการเพิ่มทุน: จากรายการเปลี่ยนแปลงของเงินกองทุนสะสมจากการเพิ่มทุน เราสามารถทราบได้ว่าบริษัทได้เพิ่มทุนแบบมีสิทธิหรือเพิ่มทุนแบบไม่มีสิทธิหรือไม่
  • ตรวจสอบรายการเปลี่ยนแปลงของกำไรสะสม: เราสามารถวิเคราะห์ได้ว่าบริษัทสร้างกำไรได้มากน้อยเพียงใด และจ่ายเงินปันผลเท่าใด กำไรสะสมที่เพิ่มขึ้นแสดงว่าสถานะทางการเงินของบริษัทดีขึ้น และมีโอกาสที่ราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้น

การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของส่วนของผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง และทำความเข้าใจแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลง จะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุนในหุ้น

การใช้ข้อมูลส่วนของผู้ถือหุ้นในการตัดสินใจลงทุน

จากการดูรายการส่วนของผู้ถือหุ้นในงบการเงิน เราสามารถวิเคราะห์ความแข็งแกร่งทางการเงินและความมั่นคงของบริษัทได้ ข้อมูลเหล่านี้สามารถช่วยให้เราตัดสินใจลงทุนได้ดียิ่งขึ้น เราขอแนะนำเคล็ดลับบางประการดังนี้

  • ยิ่งส่วนของผู้ถือหุ้นมีขนาดใหญ่ ยิ่งแสดงว่าบริษัทมีความมั่นคงมากขึ้น หากบริษัทมีเงินทุนจากผู้ถือหุ้นเพียงพอ ก็จะลดโอกาสที่จะประสบปัญหาขาดสภาพคล่องในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือการแข่งขันที่รุนแรง
  • เมื่อพิจารณาองค์ประกอบของส่วนของผู้ถือหุ้น ควรแยกแยะระหว่าง ทุนจดทะเบียน เงินกองทุนสะสมจากการเพิ่มทุน และกำไรสะสม ทุนจดทะเบียนคือเงินที่ผู้ถือหุ้นลงทุน ส่วนเงินกองทุนสะสมจากการเพิ่มทุนคือเงินส่วนเกินจากการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับส่วนของผู้ถือหุ้น เช่น เงินส่วนเกินจากการออกหุ้น และกำไรสะสมคือกำไรจากการดำเนินงานที่ไม่ได้จ่ายเป็นเงินปันผลและคงเหลืออยู่ในบริษัท กำไรสะสมที่สูงแสดงว่าบริษัทมีศักยภาพในการเติบโตสูง
  • ควรตรวจสอบรายการเปลี่ยนแปลงของส่วนของผู้ถือหุ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เช่น ทุนจดทะเบียน เงินกองทุนสะสมจากการเพิ่มทุน และกำไรสะสม หากบริษัทขาดทุน ก็อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงผลประกอบการที่ไม่ดี ดังนั้นจึงควรระมัดระวัง
  • สามารถคำนวณอัตราส่วนทางการเงินเพื่อประเมินโครงสร้างทางการเงินของบริษัท อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ ได้แก่ อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (หนี้สิน/ส่วนของผู้ถือหุ้น) และอัตราส่วนส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์ทั้งหมด (ส่วนของผู้ถือหุ้น/สินทรัพย์ทั้งหมด) โดยทั่วไปแล้ว อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นควรต่ำกว่า 100% และอัตราส่วนส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์ทั้งหมดควรสูงกว่า 50% ถือว่ามีความมั่นคง

ขอแนะนำให้ใช้ข้อมูลส่วนของผู้ถือหุ้นเหล่านี้ในการวิเคราะห์สถานะทางการเงินของบริษัทที่ต้องการลงทุนอย่างรอบคอบ

ข้อควรระวังเกี่ยวกับส่วนของผู้ถือหุ้นและการหลีกเลี่ยงความผิดพลาด

มาดูข้อควรระวังและความผิดพลาดที่มักเกิดขึ้นในการวิเคราะห์รายการส่วนของผู้ถือหุ้นกันครับ

  • การพิจารณาจากส่วนของผู้ถือหุ้นรวมเพียงอย่างเดียวมีความเสี่ยง ส่วนของผู้ถือหุ้นรวมเป็นเพียงผลรวมของแต่ละรายการเท่านั้น จำเป็นต้องพิจารณารายละเอียดของแต่ละรายการควบคู่กันไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควรตรวจสอบว่ามีกำไรสะสมเพียงพอหรือไม่ หรือมีขาดทุนสะสมหรือไม่ บริษัทที่มีขาดทุนสะสมมีแนวโน้มที่จะมีผลประกอบการที่ลดลงในอนาคต
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ (Capital Deficiency) ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบหมายถึง สถานการณ์ที่บริษัทขาดทุนอย่างหนักจนทำให้กำไรสะสมลดลงจนหมด และกระทบต่อทุนจดทะเบียน หากเริ่มมีส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ ความน่าเชื่อถือของบริษัทจะลดลง และการจัดหาเงินทุนผ่านการกู้ยืมเงินจากธนาคารหรือการออกตั๋วเงินคลังจะทำได้ยากขึ้น
  • ควรระมัดระวังอย่าสับสนระหว่าง ทุนจดทะเบียน เงินกองทุนสะสมจากการเพิ่มทุน และกำไรสะสม ทุนจดทะเบียนคือเงินที่ผู้ถือหุ้นลงทุน ส่วนเงินกองทุนสะสมจากการเพิ่มทุนคือเงินส่วนเกินจากการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับส่วนของผู้ถือหุ้น เช่น เงินส่วนเกินจากการออกหุ้น และกำไรสะสมคือกำไรจากการดำเนินงานที่ไม่ได้จ่ายเป็นเงินปันผลและคงเหลืออยู่ในบริษัท
  • การไม่ตรวจสอบรายการเปลี่ยนแปลงของส่วนของผู้ถือหุ้นอย่างละเอียดอาจทำให้เกิดความผิดพลาดได้ รายการเปลี่ยนแปลงของส่วนของผู้ถือหุ้นจะแสดงรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงของ ทุนจดทะเบียน เงินกองทุนสะสมจากการเพิ่มทุน และกำไรสะสม ดังนั้นจึงควรตรวจสอบรายละเอียดเหล่านี้ให้รอบคอบเพื่อป้องกันการตัดสินใจที่ผิดพลาด

หากพิจารณาข้อควรระวังเหล่านี้ในการวิเคราะห์ส่วนของผู้ถือหุ้น จะช่วยให้เราสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้น

ความคิดเห็น0

3 ประเด็นสำคัญกว่าสไตล์ในการเลือกหุ้น: 1) บริษัทที่ดี 2) หุ้นที่ดี 3) ราคาที่ดีการซื้อหุ้นของบริษัทที่ดีที่มีการเติบโตในราคาที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ และควรพิจารณาถึงความสำคัญของผู้ถือหุ้นรายย่อยในสายตาของผู้บริหารด้วย
고집스런가치투자
고집스런가치투자
고집스런가치투자
고집스런가치투자

April 3, 2024

คู่มือฉบับสมบูรณ์สัญญาการลงทุนสตาร์ทอัพ: วิธีหลีกเลี่ยงข้อตกลงที่ไม่เป็นธรรมและเจรจาต่อรองอย่างมีเหตุผลคู่มือนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจข้อกำหนดหลักและข้อตกลงที่ไม่เป็นธรรมในสัญญาการลงทุนสตาร์ทอัพ พร้อมทั้งแนะนำวิธีการเจรจาต่อรองอย่างมีเหตุผล ครอบคลุมเงื่อนไขการลงทุน สิทธิออกเสียงกลยุทธ์การออกจากธุรกิจ (Exit Strategy) และวิธีการแก้ไขข้อตกลงที่ไม่เอื้ออำนวย
ExperiStack
ExperiStack
ExperiStack
ExperiStack

December 30, 2024

เป้าหมายความมั่งคั่ง (ตามจำนวนเงิน)อ้างอิงจากหนังสือ "เพื่อนบ้านเศรษฐี" เพื่อกำหนดเป้าหมายจำนวนเงินและวิธีการเพื่อความมั่งคั่ง โดยวางแผนเพิ่มสินทรัพย์สุทธิผ่านการออมและการลงทุน
(로또 사는 아빠) 살림 하는 엄마
(로또 사는 아빠) 살림 하는 엄마
(로또 사는 아빠) 살림 하는 엄마
(로또 사는 아빠) 살림 하는 엄마

April 20, 2024

มองไปยังขั้นตอนการเติบโตถัดไปของระบบนิเวศสตาร์ทอัพเกาหลีบทวิจารณ์หนังสือที่รวบรวมกลยุทธ์การขยายธุรกิจไปต่างประเทศและเคล็ดลับการระดมทุนของสตาร์ทอัพเกาหลี โดยแนะนำถึงการเพิ่มมูลค่าการลงทุน กลยุทธ์การบุกตลาดต่างประเทศ คู่มือการเขียนเอกสาร IR เป็นต้น
So Yeon Kim
So Yeon Kim
So Yeon Kim
So Yeon Kim

March 25, 2024

ข้อได้เปรียบของนักลงทุนรายบุคคลเหนือ Private Equity: สามารถใช้เงินสดได้อย่างรวดเร็วและไม่จำเป็นต้องใช้ทั้งหมดนักลงทุนรายบุคคลต่างจากกองทุนเอกชนตรงที่สามารถลงทุนได้โดยปราศจากแรงกดดันจากผลตอบแทน จึงสามารถบริหารจัดการเงินสดได้อย่างยืดหยุ่นและรอคอยโอกาส
고집스런가치투자
고집스런가치투자
고집스런가치투자
고집스런가치투자

April 3, 2024

คำถามเกี่ยวกับ DCF (วิธีคิดลดกระแสเงินสด) ในวิธีการประเมินมูลค่าบริษัทเป็นคำถามจากสตาร์ทอัพที่ใช้ DCF ในการประเมินมูลค่าธุรกิจ โดยมีคำถามต่างๆ เกี่ยวกับสูตรคำนวณ DCF, การตั้งค่าอัตราคิดลด, และวิธีการทำสัญญาลงทุนเพื่อคุ้มครองความลับทางการค้า
s-valueup
s-valueup
s-valueup
s-valueup

May 16, 2025