เมื่อทำการลงทุน งบการเงินที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ 'ส่วนของผู้ถือหุ้น' ซึ่งเราจะมาอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ และรวดเร็วครับ ว่าส่วนของผู้ถือหุ้นคืออะไร และทำไมจึงมีความสำคัญ มาเรียนรู้ไปพร้อมๆ กันเลยครับ
นิยามและองค์ประกอบของส่วนของผู้ถือหุ้น
ส่วนของผู้ถือหุ้น หมายถึง ส่วนที่เหลือของสินทรัพย์ของบริษัทหลังจากหักหนี้สินออกแล้ว กล่าวคือ แสดงถึงสินทรัพย์สุทธิของบริษัท ส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญที่แสดงถึงสถานะทางการเงินของบริษัท และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ต้องพิจารณาเมื่อทำการลงทุนในหุ้น
ส่วนของผู้ถือหุ้นประกอบด้วยองค์ประกอบต่อไปนี้
- ทุนจดทะเบียน: หมายถึง จำนวนเงินที่ผู้ลงทุนลงทุนเมื่อบริษัทก่อตั้งขึ้นครั้งแรก ทุนจดทะเบียนจัดหาผ่านการออกหุ้น และคำนวณโดยการนำมูลค่าที่ตราไว้ต่อหุ้น คูณด้วยจำนวนหุ้นที่ออก
- เงินกองทุนสะสมจากการเพิ่มทุน: หมายถึง เงินส่วนเกินที่เกิดจากการทำธุรกรรมเกี่ยวกับส่วนของผู้ถือหุ้น ตัวอย่างเช่น หากราคาออกหุ้นสูงกว่ามูลค่าที่ตราไว้ ส่วนต่างนั้นจะถูกบันทึกเป็นเงินกองทุนสะสมจากการเพิ่มทุน
- กำไรสะสม: หมายถึง กำไรที่เกิดจากการดำเนินงาน ที่ไม่ได้จ่ายเป็นเงินปันผลและคงเหลืออยู่ กำไรสะสมเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่แสดงว่าสถานะทางการเงินของบริษัทแข็งแกร่ง และเป็นเกณฑ์สำคัญในการตัดสินใจลงทุนในหุ้น
- การปรับปรุงส่วนของผู้ถือหุ้น: หมายถึง รายการที่ไม่อยู่ในทุนจดทะเบียน เงินกองทุนสะสมจากการเพิ่มทุน หรือ กำไรสะสม ซึ่งมีบทบาทในการปรับปรุงส่วนของผู้ถือหุ้นทั้งหมด ตัวอย่างเช่น การซื้อหุ้นคืน ส่วนลดในการออกหุ้น การลดทุน เป็นต้น
- กำไรหรือขาดทุนสะสมอื่นๆ: หมายถึง จำนวนเงินที่สะสมจากกำไรหรือขาดทุนอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง
- ส่วนของผู้ถือหุ้นอื่น: หมายถึง ส่วนของหุ้นในบริษัทย่อย ที่บริษัทแม่ไม่ได้ถือครอง
การทำความเข้าใจองค์ประกอบของส่วนของผู้ถือหุ้นเหล่านี้ จะทำให้เราสามารถวิเคราะห์สถานะทางการเงินของบริษัทได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น และสามารถตัดสินใจลงทุนในหุ้นได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น
ความสัมพันธ์ระหว่างส่วนของผู้ถือหุ้นกับการลงทุนในหุ้น
ส่วนของผู้ถือหุ้นมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการลงทุนในหุ้น เนื่องจากหุ้นเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่ก่อให้เกิดส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท
นักลงทุนในหุ้นสามารถเข้าร่วมในส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท และได้รับผลตอบแทนจากการเติบโตของบริษัท ในกรณีนี้ ขนาดและองค์ประกอบของส่วนของผู้ถือหุ้นมีบทบาทสำคัญในการกำหนดมูลค่าของหุ้น
ตัวอย่างเช่น หากบริษัทมีทุนจดทะเบียนสูง จะส่งผลให้ความมั่นคงของบริษัทเพิ่มขึ้น และมีโอกาสที่มูลค่าของหุ้นจะเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ หากบริษัทมีเงินกองทุนสะสมจากการเพิ่มทุนและกำไรสะสมสูง จะแสดงให้เห็นว่าสถานะทางการเงินของบริษัทแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยเพิ่มมูลค่าของหุ้น
ในทางกลับกัน หากบริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ (Capital Deficiency) หรือมีหนี้สินมากเกินไป จะแสดงให้เห็นว่าสถานะทางการเงินของบริษัทไม่มั่นคง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้มูลค่าของหุ้นลดลง ดังนั้นจึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
ดังนั้น เมื่อทำการลงทุนในหุ้น จึงจำเป็นต้องวิเคราะห์ขนาดและองค์ประกอบของส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทอย่างละเอียด และใช้ข้อมูลเหล่านี้เป็นพื้นฐานในการตัดสินใจลงทุน ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถได้รับผลตอบแทนที่มั่นคงและสูงขึ้น
วิธีการวิเคราะห์ส่วนของผู้ถือหุ้นจากงบการเงิน
วิธีการวิเคราะห์ส่วนของผู้ถือหุ้นจากงบการเงินมีดังนี้
- ตรวจสอบงบดุล: งบดุลเป็นตารางที่แสดงสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท ส่วนของผู้ถือหุ้นจะอยู่ทางด้านขวาของงบดุล และประกอบด้วย ทุนจดทะเบียน เงินกองทุนสะสมจากการเพิ่มทุน และกำไรสะสม
- ทุนจดทะเบียน: คือจำนวนเงินที่ลงทุนเมื่อก่อตั้งบริษัท คำนวณจากจำนวนหุ้นทั้งหมดที่ออกคูณด้วยมูลค่าที่ตราไว้ต่อหุ้น
- เงินกองทุนสะสมจากการเพิ่มทุน: คือเงินส่วนเกินจากการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับส่วนของผู้ถือหุ้น เช่น เงินส่วนเกินจากการออกหุ้น
- กำไรสะสม: คือส่วนของกำไรจากการดำเนินงานที่ไม่ได้จ่ายเป็นเงินปันผลและคงเหลืออยู่ในบริษัท
จากข้อมูลเหล่านี้ เราสามารถวิเคราะห์สถานะทางการเงินของบริษัทและใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนในหุ้น อย่างไรก็ตาม งบการเงินแสดงข้อมูลในอดีต ดังนั้นจึงควรระมัดระวังในการคาดการณ์อนาคตจากข้อมูลเหล่านี้
การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของส่วนของผู้ถือหุ้น
การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งในการลงทุนในหุ้น การวิเคราะห์นี้ช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์ได้ว่าสถานะทางการเงินของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และสามารถคาดการณ์ปัจจัยที่จะส่งผลต่อราคาหุ้นในอนาคตได้
วิธีการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของส่วนของผู้ถือหุ้นมีดังนี้
- ตรวจสอบรายการเปลี่ยนแปลงของทุนจดทะเบียน: จากรายการเปลี่ยนแปลงของทุนจดทะเบียน เราสามารถวิเคราะห์ได้ว่าบริษัทได้ออกหุ้นเพิ่มหรือลดทุนหรือไม่ หากมีการออกหุ้นเพิ่ม มูลค่าของหุ้นอาจลดลง และหากมีการลดทุน มูลค่าของหุ้นอาจเพิ่มขึ้น
- ตรวจสอบรายการเปลี่ยนแปลงของเงินกองทุนสะสมจากการเพิ่มทุน: จากรายการเปลี่ยนแปลงของเงินกองทุนสะสมจากการเพิ่มทุน เราสามารถทราบได้ว่าบริษัทได้เพิ่มทุนแบบมีสิทธิหรือเพิ่มทุนแบบไม่มีสิทธิหรือไม่
- ตรวจสอบรายการเปลี่ยนแปลงของกำไรสะสม: เราสามารถวิเคราะห์ได้ว่าบริษัทสร้างกำไรได้มากน้อยเพียงใด และจ่ายเงินปันผลเท่าใด กำไรสะสมที่เพิ่มขึ้นแสดงว่าสถานะทางการเงินของบริษัทดีขึ้น และมีโอกาสที่ราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้น
การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของส่วนของผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง และทำความเข้าใจแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลง จะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุนในหุ้น
การใช้ข้อมูลส่วนของผู้ถือหุ้นในการตัดสินใจลงทุน
จากการดูรายการส่วนของผู้ถือหุ้นในงบการเงิน เราสามารถวิเคราะห์ความแข็งแกร่งทางการเงินและความมั่นคงของบริษัทได้ ข้อมูลเหล่านี้สามารถช่วยให้เราตัดสินใจลงทุนได้ดียิ่งขึ้น เราขอแนะนำเคล็ดลับบางประการดังนี้
- ยิ่งส่วนของผู้ถือหุ้นมีขนาดใหญ่ ยิ่งแสดงว่าบริษัทมีความมั่นคงมากขึ้น หากบริษัทมีเงินทุนจากผู้ถือหุ้นเพียงพอ ก็จะลดโอกาสที่จะประสบปัญหาขาดสภาพคล่องในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือการแข่งขันที่รุนแรง
- เมื่อพิจารณาองค์ประกอบของส่วนของผู้ถือหุ้น ควรแยกแยะระหว่าง ทุนจดทะเบียน เงินกองทุนสะสมจากการเพิ่มทุน และกำไรสะสม ทุนจดทะเบียนคือเงินที่ผู้ถือหุ้นลงทุน ส่วนเงินกองทุนสะสมจากการเพิ่มทุนคือเงินส่วนเกินจากการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับส่วนของผู้ถือหุ้น เช่น เงินส่วนเกินจากการออกหุ้น และกำไรสะสมคือกำไรจากการดำเนินงานที่ไม่ได้จ่ายเป็นเงินปันผลและคงเหลืออยู่ในบริษัท กำไรสะสมที่สูงแสดงว่าบริษัทมีศักยภาพในการเติบโตสูง
- ควรตรวจสอบรายการเปลี่ยนแปลงของส่วนของผู้ถือหุ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เช่น ทุนจดทะเบียน เงินกองทุนสะสมจากการเพิ่มทุน และกำไรสะสม หากบริษัทขาดทุน ก็อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงผลประกอบการที่ไม่ดี ดังนั้นจึงควรระมัดระวัง
- สามารถคำนวณอัตราส่วนทางการเงินเพื่อประเมินโครงสร้างทางการเงินของบริษัท อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ ได้แก่ อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (หนี้สิน/ส่วนของผู้ถือหุ้น) และอัตราส่วนส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์ทั้งหมด (ส่วนของผู้ถือหุ้น/สินทรัพย์ทั้งหมด) โดยทั่วไปแล้ว อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นควรต่ำกว่า 100% และอัตราส่วนส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์ทั้งหมดควรสูงกว่า 50% ถือว่ามีความมั่นคง
ขอแนะนำให้ใช้ข้อมูลส่วนของผู้ถือหุ้นเหล่านี้ในการวิเคราะห์สถานะทางการเงินของบริษัทที่ต้องการลงทุนอย่างรอบคอบ
ข้อควรระวังเกี่ยวกับส่วนของผู้ถือหุ้นและการหลีกเลี่ยงความผิดพลาด
มาดูข้อควรระวังและความผิดพลาดที่มักเกิดขึ้นในการวิเคราะห์รายการส่วนของผู้ถือหุ้นกันครับ
- การพิจารณาจากส่วนของผู้ถือหุ้นรวมเพียงอย่างเดียวมีความเสี่ยง ส่วนของผู้ถือหุ้นรวมเป็นเพียงผลรวมของแต่ละรายการเท่านั้น จำเป็นต้องพิจารณารายละเอียดของแต่ละรายการควบคู่กันไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควรตรวจสอบว่ามีกำไรสะสมเพียงพอหรือไม่ หรือมีขาดทุนสะสมหรือไม่ บริษัทที่มีขาดทุนสะสมมีแนวโน้มที่จะมีผลประกอบการที่ลดลงในอนาคต
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ (Capital Deficiency) ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบหมายถึง สถานการณ์ที่บริษัทขาดทุนอย่างหนักจนทำให้กำไรสะสมลดลงจนหมด และกระทบต่อทุนจดทะเบียน หากเริ่มมีส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ ความน่าเชื่อถือของบริษัทจะลดลง และการจัดหาเงินทุนผ่านการกู้ยืมเงินจากธนาคารหรือการออกตั๋วเงินคลังจะทำได้ยากขึ้น
- ควรระมัดระวังอย่าสับสนระหว่าง ทุนจดทะเบียน เงินกองทุนสะสมจากการเพิ่มทุน และกำไรสะสม ทุนจดทะเบียนคือเงินที่ผู้ถือหุ้นลงทุน ส่วนเงินกองทุนสะสมจากการเพิ่มทุนคือเงินส่วนเกินจากการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับส่วนของผู้ถือหุ้น เช่น เงินส่วนเกินจากการออกหุ้น และกำไรสะสมคือกำไรจากการดำเนินงานที่ไม่ได้จ่ายเป็นเงินปันผลและคงเหลืออยู่ในบริษัท
- การไม่ตรวจสอบรายการเปลี่ยนแปลงของส่วนของผู้ถือหุ้นอย่างละเอียดอาจทำให้เกิดความผิดพลาดได้ รายการเปลี่ยนแปลงของส่วนของผู้ถือหุ้นจะแสดงรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงของ ทุนจดทะเบียน เงินกองทุนสะสมจากการเพิ่มทุน และกำไรสะสม ดังนั้นจึงควรตรวจสอบรายละเอียดเหล่านี้ให้รอบคอบเพื่อป้องกันการตัดสินใจที่ผิดพลาด
หากพิจารณาข้อควรระวังเหล่านี้ในการวิเคราะห์ส่วนของผู้ถือหุ้น จะช่วยให้เราสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้น
ความคิดเห็น0