ทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างกำไรสุทธิและกำไรก่อนหักภาษี
กำไรสุทธิและกำไรก่อนหักภาษีเป็นตัวเลขที่พบเห็นได้บ่อยในการอ่านงบการเงิน แม้ว่าจะดูคล้ายกันแต่จริงๆ แล้วเป็นแนวคิดที่แตกต่างกัน ทั้งสองเป็นตัวชี้วัดผลกำไรของบริษัท แต่แตกต่างกันในวิธีการคำนวณและความหมาย
- กำไรก่อนหักภาษีคือยอดขายลบด้วยต้นทุนขาย ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร รายได้อื่นๆ แล้วบวกด้วยค่าใช้จ่ายอื่นๆ และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคล หมายถึงกำไรก่อนหักภาษี
- กำไรสุทธิคือกำไรก่อนหักภาษีลบด้วยค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งหมายถึงกำไรขั้นสุดท้ายที่บริษัทได้รับหลังจากชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว
ดังนั้น การเปรียบเทียบทั้งสองตัวชี้วัดนี้จะช่วยให้เราทราบถึงภาระภาษีของบริษัทและขนาดของกำไรที่แท้จริง หากกำไรก่อนหักภาษีสูงแต่กำไรสุทธิต่ำ แสดงว่าภาระภาษีสูง ในทางกลับกัน หากกำไรสุทธิสูงแต่กำไรก่อนหักภาษิต่ำ อาจเป็นเพราะค่าใช้จ่ายอื่นๆ สูงหรือได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
การประเมินความมั่นคงทางการเงินโดยการวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ
เมื่อวิเคราะห์งบกำไรขาดทุน การใช้อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญจะช่วยให้สามารถประเมินสถานะทางการเงินของบริษัทได้อย่างเป็นกลาง ตัวอย่างของอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ ได้แก่
- อัตราส่วนผลตอบแทน:เป็นตัวชี้วัดที่แสดงให้เห็นว่าบริษัทสร้างผลกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด ตัวอย่างของอัตราส่วนผลตอบแทน ได้แก่ อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ (ROA) อัตราผลตอบแทนส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตราส่วนกำไรจากการขาย เป็นต้น ผ่านตัวชี้วัดเหล่านี้ เราสามารถประเมินผลกำไรของบริษัทและเปรียบเทียบกับคู่แข่งได้
- อัตราส่วนความมั่นคง:เป็นตัวชี้วัดที่แสดงถึงความมั่นคงทางการเงินของบริษัท ตัวอย่างของอัตราส่วนความมั่นคง ได้แก่ อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์ อัตราส่วนสินทรัพย์หมุนเวียน และอัตราส่วนเงินสด เป็นต้น ผ่านตัวชี้วัดเหล่านี้ เราสามารถประเมินความสามารถของบริษัทในการชำระหนี้และความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ระยะสั้นได้
- อัตราส่วนกิจกรรม:เป็นตัวชี้วัดที่แสดงให้เห็นว่าบริษัทใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด ตัวอย่างของอัตราส่วนกิจกรรม ได้แก่ อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงคลัง อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้ เป็นต้น ผ่านตัวชี้วัดเหล่านี้ เราสามารถประเมินการใช้สินทรัพย์ของบริษัทและระบุจุดที่ต้องปรับปรุงได้
- อัตราส่วนการเติบโต:เป็นตัวชี้วัดที่แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตของบริษัท ตัวอย่างของอัตราส่วนการเติบโต ได้แก่ อัตราการเติบโตของยอดขาย อัตราการเติบโตของกำไรจากการดำเนินงาน อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ เป็นต้น ผ่านตัวชี้วัดเหล่านี้ เราสามารถประเมินการเติบโตของบริษัทและคาดการณ์อนาคตได้
การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินเหล่านี้โดยรวมจะช่วยให้สามารถประเมินสถานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยในการกำหนดกลยุทธ์ของบริษัทและการตัดสินใจลงทุน
วิธีการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงในงบกำไรขาดทุน
เมื่อวิเคราะห์งบกำไรขาดทุน การตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งจะช่วยให้สามารถทำความเข้าใจผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงินของบริษัทได้อย่างถูกต้อง
วิธีการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงมีดังนี้
- การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของยอดขาย:เป็นหนึ่งในรายการที่สำคัญที่สุด หากยอดขายเพิ่มขึ้น แสดงว่าผลกำไรของบริษัทดีขึ้นและมีโอกาสเติบโตสูง ในทางกลับกัน หากยอดขายลดลง แสดงว่าผลกำไรของบริษัทลดลงและอาจเผชิญกับภาวะวิกฤต จำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ปัจจัยตามฤดูกาล การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และการเข้ามาของคู่แข่ง เป็นต้น
- การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของค่าใช้จ่าย:เป็นรายการที่สำคัญเช่นเดียวกับยอดขายและมีผลโดยตรงต่อผลกำไรของบริษัท ต้องวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของค่าจ้าง ค่าใช้จ่ายในการผลิต ค่าโฆษณา เป็นต้น และค้นหาสาเหตุของการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถหาวิธีลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มผลกำไรได้
- การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของกำไรและขาดทุนอื่นๆ:จำเป็นต้องวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของรายได้ดอกเบี้ย ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย รายได้จากเงินปันผล เป็นต้น ซึ่งจะช่วยในการประเมินความมั่นคงทางการเงินของบริษัทและวางแผนการจัดหาเงินทุน
- การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคล:ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดผลกำไรขั้นสุดท้ายของบริษัท ดังนั้นจึงต้องวิเคราะห์ให้ดี ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลได้รับผลกระทบจากการตรวจสอบภาษีและการเปลี่ยนแปลงกฎหมายภาษี
- การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของกำไรสุทธิ:สุดท้าย การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของกำไรสุทธิก็มีความสำคัญเช่นกัน และจำเป็นต้องพิจารณาจากรายการข้างต้นโดยรวม ซึ่งจะช่วยให้สามารถประเมินผลการดำเนินงานของบริษัทและคาดการณ์อนาคตได้
การฝึกปฏิบัติและสรุปการอ่านงบกำไรขาดทุนผ่านตัวอย่างจริง
ตอนนี้เรามาฝึกปฏิบัติการอ่านงบกำไรขาดทุนกันโดยใช้ตัวอย่างจริง ด้านล่างนี้เป็นงบกำไรขาดทุนของบริษัท A ที่สมมติขึ้นในปี 2564
กำไรขั้นต้น 40,000,000 บาท
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 20,000,000 บาท
กำไรจากการดำเนินงาน 20,000,000 บาท
รายได้อื่นๆ 5,000,000 บาท
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ 3,000,000 บาท
กำไรก่อนหักภาษีเงินได้ 22,000,000 บาท
ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 4,400,000 บาท
สรุปงบกำไรขาดทุนข้างต้นได้ดังนี้
-ยอดขายในปี 2564 อยู่ที่ 100 ล้านบาท และต้นทุนขายอยู่ที่ 60 ล้านบาท
-กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 40 ล้านบาท (ยอดขาย - ต้นทุนขาย)
-ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอยู่ที่ 20 ล้านบาท
-กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 20 ล้านบาท (กำไรขั้นต้น - ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร)
-รายได้อื่นๆ อยู่ที่ 5 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายอื่นๆ อยู่ที่ 3 ล้านบาท
-กำไรก่อนหักภาษีเงินได้อยู่ที่ 22 ล้านบาท (กำไรจากการดำเนินงาน + รายได้อื่นๆ - ค่าใช้จ่ายอื่นๆ)
-ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้อยู่ที่ 4.4 ล้านบาท และกำไรสุทธิอยู่ที่ 17.6 ล้านบาท (กำไรก่อนหักภาษีเงินได้ - ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้)
บทส่งท้าย
วันนี้เราได้เรียนรู้วิธีการตรวจสอบผลกำไรของบริษัทผ่านงบกำไรขาดทุนแล้ว งบกำไรขาดทุนเป็นส่วนสำคัญที่สุดของงบการเงิน ดังนั้นควรจดจำเนื้อหาที่กล่าวมาไว้และนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์
ความคิดเห็น0