เข็มทิศการลงทุนหุ้น: มาทำความรู้จักกับ PER กันเถอะ!

สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่เริ่มต้นลงทุนในหุ้น คงเคยได้ยินคำศัพท์นี้กันมาบ้างแล้ว นั่นคือ PER ค่ะ PER ย่อมาจากอัตราส่วนราคาต่อกำไร (Price-to-Earnings Ratio) ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดที่สำคัญที่บ่งบอกว่าราคาหุ้นของบริษัทนั้นแพงหรือถูก

PER คืออะไร?

PER คือค่าที่ได้จากการนำราคาหุ้นหารด้วยกำไรต่อหุ้น พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ จำนวนเงินที่นักลงทุนจ่ายเพื่อซื้อหุ้น 1 หุ้น เป็นกี่เท่าของกำไรที่หุ้นนั้นสร้างได้ใน 1 ปี

PER = ราคาหุ้น ÷ กำไรต่อหุ้น

ตัวอย่าง: สมมุติว่าราคาหุ้นของบริษัทแห่งหนึ่งอยู่ที่ 10,000 บาท และกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 1,000 บาท PER จะเท่ากับ 10 เท่า นั่นหมายความว่า นักลงทุนต้องจ่ายเงิน 10 เท่าของกำไรที่หุ้นนั้นสร้างได้ใน 1 ปี เพื่อซื้อหุ้น 1 หุ้นของบริษัทนี้

ทำไม PER ถึงสำคัญ?

PER ใช้ในการประเมินมูลค่าสัมพัทธ์ของบริษัท หาก PER ต่ำ แสดงว่าราคาหุ้นอาจถูกประเมินต่ำเกินไป ในทางกลับกัน หาก PER สูง แสดงว่าราคาหุ้นอาจถูกประเมินสูงเกินไป

• เมื่อ PER ต่ำ:โดยทั่วไปแล้วจะถือว่าเป็นบริษัทที่ถูกประเมินต่ำเกินไป จึงอาจเป็นโอกาสในการลงทุน แต่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงสาเหตุที่ทำให้ราคาถูก (เช่น สภาพตลาดไม่ดี การเติบโตในอนาคตไม่แน่นอน ฯลฯ)
• เมื่อ PER สูง:โดยทั่วไปแล้วจะถือว่าเป็นบริษัทที่ถูกประเมินสูงเกินไป จึงควรพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบ แต่หากเป็นบริษัทที่มีการเติบโตสูง ก็อาจถือว่า PER สูงนั้นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

กลยุทธ์การลงทุนโดยใช้ PER

ไม่ควรใช้ PER เพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจลงทุน ควรพิจารณาควบคู่ไปกับดัชนีชี้วัดอื่นๆ ด้วย

• PBR (อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าหุ้นตามบัญชี):ดัชนีชี้วัดที่แสดงให้เห็นถึงราคาหุ้นเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ของบริษัท การใช้ PER ร่วมกับ PBR จะช่วยให้เข้าใจสถานะทางการเงินของบริษัทได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
• ROE (อัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น):ดัชนีชี้วัดที่แสดงให้เห็นถึงกำไรสุทธิเมื่อเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้น ใช้ในการประเมินความสามารถในการทำกำไรของบริษัท
• การเติบโต:ดัชนีชี้วัดที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการเติบโตของกำไรในอนาคตของบริษัท บริษัทที่มีการเติบโตสูง อาจมี PER ที่สูงได้
• PER เฉลี่ยของอุตสาหกรรม:เปรียบเทียบกับ PER เฉลี่ยของอุตสาหกรรม เพื่อประเมินว่าบริษัทนั้นถูกประเมินต่ำหรือสูงเกินไป

ข้อเสียและข้อควรระวังของ PER

• ข้อมูลย้อนหลัง:PER คำนวณจากผลประกอบการในอดีต ดังนั้นจึงอาจไม่สะท้อนถึงการเติบโตในอนาคตได้อย่างถูกต้อง
• ลักษณะของอุตสาหกรรม:ระดับ PER ที่เหมาะสมแตกต่างกันไปในแต่ละอุตสาหกรรม จึงไม่ควรนำมาเปรียบเทียบกันโดยตรง
• ภาวะเศรษฐกิจ:PER อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามภาวะเศรษฐกิจ
• ไม่มีเกณฑ์มาตรฐานที่แน่นอน:PER สูงหรือต่ำ ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นโอกาสในการลงทุนที่ดีเสมอไป

สรุป

PER เป็นดัชนีชี้วัดที่มีประโยชน์ในการลงทุนในหุ้น แต่ไม่ใช่เกณฑ์มาตรฐานที่แน่นอน ควรวิเคราะห์ดัชนีชี้วัดต่างๆ ร่วมกัน และพิจารณาถึงแบบจำลองธุรกิจ ข้อได้เปรียบในการแข่งขัน และโอกาสในการเติบโตในอนาคตของบริษัท ก่อนตัดสินใจลงทุน

การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ ควรศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุน และขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญก็เป็นวิธีที่ดีเช่นกัน