หัวข้อ
- #อัตราส่วนกำไรสุทธิ
- #การวิเคราะห์ธุรกิจ
- #การลงทุน
- #ความสามารถในการทำกำไร
- #การวิเคราะห์ทางการเงิน
สร้าง: 2024-08-04
สร้าง: 2024-08-04 14:15
'อัตรากำไรสุทธิ'เคยได้ยินคำนี้ไหมคะ? มันเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญมากในการตรวจสอบสถานะทางการเงินของธุรกิจ ง่ายนิดเดียว มาทำความเข้าใจกันเลยค่ะ
ในการวิเคราะห์ธุรกิจ อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Ratio) เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญตัวหนึ่งที่ใช้ในการวัดความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ มันแสดงให้เห็นว่าธุรกิจได้รับกำไรจากยอดขายเท่าไหร่ โดยคำนวณจากการนำกำไรสุทธิหารด้วยยอดขาย กล่าวคือ "กำไรสุทธิ/ยอดขาย"นั่นเอง
ข้อมูลนี้เป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนและผู้บริหารในการประเมินสถานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของธุรกิจ อัตรากำไรสุทธิที่สูงบ่งบอกว่าธุรกิจได้รับกำไรจากยอดขายมากขึ้น ซึ่งหมายความว่าธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันและความสามารถในการทำกำไรสูง ในทางกลับกัน อัตรากำไรสุทธิที่ต่ำหมายความว่าธุรกิจได้รับกำไรจากยอดขายน้อยหรือขาดทุน ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าจำเป็นต้องปรับปรุง
เนื่องจากอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยแตกต่างกันไปในแต่ละอุตสาหกรรม จึงควรเปรียบเทียบกับอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยของอุตสาหกรรมนั้นๆ เพื่อประเมินความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ นอกจากนี้ ยังสามารถเปรียบเทียบกับอัตรากำไรสุทธิของคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันเพื่อระบุจุดแข็งและจุดอ่อนของธุรกิจได้อีกด้วย
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว อัตรากำไรสุทธิคำนวณจากการนำกำไรสุทธิหารด้วยยอดขาย โดย ตัวเศษคือกำไรสุทธิ ซึ่งหมายถึงกำไรขั้นสุดท้ายที่เกิดจากการดำเนินงานของธุรกิจโดย คำนวณจากการนำกำไรขั้นต้นลบด้วยค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ค่าใช้จ่ายทางการเงิน และภาษีเงินได้นิติบุคคลนั่นเอง
ในขณะที่ ตัวส่วนคือยอดขาย ซึ่งหมายถึงยอดรวมของสินค้าหรือบริการที่ธุรกิจขายได้ในช่วงเวลาหนึ่ง โดยทั่วไปจะรายงานเป็นรายไตรมาสหรือรายปี และอาจแตกต่างกันไปตามขนาดและประเภทของธุรกิจ
ตัวอย่างเช่น ถ้าธุรกิจ A มียอดขาย 100 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 20 ล้านบาทในไตรมาสที่ผ่านมา อัตรากำไรสุทธิของธุรกิจนี้จะเท่ากับ 20% [(20 ล้านบาท / 100 ล้านบาท)] ด้วยการคำนวณอัตรากำไรสุทธิเช่นนี้ เราสามารถวิเคราะห์ความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจได้อย่างง่ายดาย
การวิเคราะห์อัตรากำไรสุทธิเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญมากในการประเมินสถานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของธุรกิจ เนื่องจาก เป็นตัวชี้วัดที่แสดงถึงความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ และให้ข้อมูลที่มีประโยชน์แก่นักลงทุนและเจ้าหนี้ในการตัดสินใจเกี่ยวกับมูลค่าของธุรกิจ
ประการแรก อัตรากำไรสุทธิมีบทบาทสำคัญในการประเมินผลการดำเนินงานโดยรวมของธุรกิจ อัตรากำไรสุทธิซึ่งแสดงถึงสัดส่วนของกำไรสุทธิต่อยอดขาย เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่แสดงให้เห็นว่าธุรกิจดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด โดยทั่วไปแล้ว ธุรกิจที่มีอัตรากำไรสุทธิสูงจะได้รับการประเมินว่ามีผลการดำเนินงานที่ดีกว่า
อีกแง่มุมหนึ่งคือ อัตรากำไรสุทธิมีบทบาทสำคัญในการประเมินความน่าเชื่อถือของธุรกิจในตลาดการเงิน อัตรากำไรสุทธิที่สูงแสดงให้เห็นว่าธุรกิจมีความมั่นคงและมีความสามารถในการทำกำไรสูง ดังนั้นสถาบันการเงินจึงมีแนวโน้มที่จะให้สินเชื่อแก่ธุรกิจเหล่านี้ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า หรืออาจกำหนดราคาหุ้นที่สูงขึ้นเมื่อออกหุ้นใหม่ ในทางกลับกัน อาจส่งผลกระทบเชิงลบได้
สุดท้าย อัตรากำไรสุทธิเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ของธุรกิจ เช่น การควบรวมกิจการ การเข้าซื้อกิจการ และการระดมทุน ธุรกิจที่มีอัตรากำไรสุทธิสูงอาจเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจสำหรับการเข้าซื้อกิจการ และเป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุน ทำให้ธุรกิจได้เปรียบในการระดมทุน ดังนั้น การวิเคราะห์อัตรากำไรสุทธิจึงเป็นสิ่งสำคัญในการวิเคราะห์ธุรกิจ
สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงอัตรากำไรสุทธิมีหลายประการ มาดูสาเหตุหลักๆ กันนะคะ
ดังนั้น ในการวิเคราะห์ธุรกิจ จึงจำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ร่วมกันเพื่อหาสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงอัตรากำไรสุทธิ
การเปรียบเทียบอัตรากำไรสุทธิของธุรกิจกับอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยของอุตสาหกรรมเป็นสิ่งสำคัญในการประเมินอัตรากำไรสุทธิ สาเหตุมีดังนี้
สมมติว่าบริษัท A และบริษัท B เป็นธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกัน และเพิ่งประกาศรายงานผลประกอบการในไตรมาสล่าสุด โดยอัตรากำไรสุทธิของบริษัท A อยู่ที่ 15% และอัตรากำไรสุทธิของบริษัท B อยู่ที่ 10%
ก่อนอื่น เมื่อเปรียบเทียบอัตรากำไรสุทธิของทั้งสองบริษัท จะเห็นว่าบริษัท A มีอัตรากำไรสุทธิสูงกว่าบริษัท B ถึง 5%p ซึ่งหมายความว่าบริษัท A สามารถสร้างกำไรสุทธิจากยอดขายได้มากกว่าบริษัท B กล่าวคือ บริษัท A อาจดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าบริษัท B หรืออาจให้บริการหรือขายสินค้าที่ทำกำไรได้มากกว่าบริษัท B
จากนั้น เราต้องวิเคราะห์เพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุของความแตกต่างนี้ ตัวอย่างเช่น เราสามารถตรวจสอบว่าบริษัท A กำหนดราคาสินค้าสูงกว่าบริษัท B หรือไม่ ใช้จ่ายค่าโฆษณาและการตลาดน้อยกว่าบริษัท B หรือไม่ หรือบริหารจัดการค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรได้ดีกว่าบริษัท B หรือไม่
จากการวิเคราะห์ดังกล่าว เราสามารถระบุจุดแข็งและจุดอ่อนของแต่ละบริษัท และใช้ข้อมูลดังกล่าวในการวางแผนกลยุทธ์ในอนาคต นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ข้อมูลในการคาดการณ์สถานะทางการเงินในอนาคตและการตัดสินใจลงทุนได้อีกด้วย
วันนี้เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับอัตรากำไรสุทธิ ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีการดูงบการเงิน อัตรากำไรสุทธิเป็นตัวชี้วัดความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ ดังนั้น นักลงทุนจึงควรมีความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดนี้
ความคิดเห็น0